Friday 31 July 2009

กล้วยน้ำว้าเสริมภูมิต้านหวัด 2009



กล้วยน้ำว้าเสริมภูมิต้านหวัด09

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ฯ เผย พุงทะลายและกล้วยน้ำว้าเสริมภูมิคุ้มกันต้านไข้หวัด09 ระบุ มีคุณสมบัติไม่แตกต่างจากฟ้าทะลายโจร

นางฉันทรา พูนศิริ นักวิชาการฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า วว.ได้ ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาพืชสมุนไพรที่สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ และโดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

โดย ได้ศึกษาสารอาหารจากพืชผัก ผลไม้ สมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน จำนวน 20 ชนิด ได้แก่ แครอท ถั่วเหลือง เม็ดแมงลัก โดยนำมาทดสอบฤทธิ์กระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวของมนุษย์ พบว่า สารสกัดพุงทะลายและกล้วยน้ำว้า มีคุณสมบัติเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายได้จริง เนื่อง จากมีสารบางชนิดกระตุ้นเม็ดเลือดขาว ชนิดไม่เฉพาะเจาะจง ซึ่งสามารถจับและทำลายเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรียได้ทันที รวมทั้งยังต้านการอักเสบที่เกี่ยวเนื่องกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยยังทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน ความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง และฤทธิ์การก่อกลายพันธุ์ พบว่า พืชผักดังกล่าวมีความปลอดภัยต่อการบริโภค

นักวิจัยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทีมวิจัยได้สกัดสารสำคัญของพุงทะลาย และกล้วย โดยนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ด โดย ได้จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัท ศรีสิงหรา จำกัด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างขอจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนจะจำหน่ายเชิงพาณิชย์ต่อไป ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีคุณสมบัติไม่แตกต่างจากฟ้าทะลายโจร เพียงรับประทานวันละ 1 เม็ด ก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายได้

6 Tips จิบกาแฟเพื่อสุขภาพ


อัพ เดทความรู้ใหม่ และสลัดความเชื่อเก่าที่ผิดๆ เรื่องกาแฟทิ้ง...เพราะมันให้คุณมากกว่าโทษ ถ้าคุณรู้จักดื่ม และนี่คือ 6 ข้อเท็จจริงที่เราเอามาบอก

1. ไม่ จริง...ว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน ถ้าคุณดื่มเพียงวันละ 1-2 ถ้วย

2.ไม่รู้ใช่ไหม...กาแฟ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

3.ต้องดื่มบ่อยๆ...สำหรับ ผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

4.กาแฟดีกว่าไวน์และชาสมุนไพร...เมล็ด กาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร และไวน์แดง ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ

5.ระวังไว้นิดก็ดี...องค์ ประกอบหลักของกาแฟคือ สารกาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัด กาเฟอีนช้า ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

6.ดีแคฟ...ไม่ ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูล อิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

อะไร ที่มากหรือน้อยเกินพอดีล้วนมีโทษทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์ก็ต้องเลือกในปริมาณ และรสชาติที่พอดี แล้วจะมีความสุขกับกาแฟแก้วโปรดไปอีกนานๆ
6 Tips จิบกาแฟเพื่อสุขภาพ : อาหารสมอง

Wednesday 29 July 2009

อาหารยอดเยี่ยมที่ปฎิเสธไม่ได้

อาหารยอดเยี่ยมที่ปฎิเสธไม่ได้

การมีสุขภาพดีเป็นที่ปรารถนาของทุกคน "อาหารเพื่อสุขภาพ" จึงมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น นอกจากนี้โรคเรื้อรังบางชนิดไม่อาจรักษาหรือควบคุมได้ด้วยการใช้ยาเพียง อย่างเดียว ต้องอาศัยโภชนบำบัดและการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม เพื่อบำรุงร่างกายและต้านโรคด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่ในบ้านเราเท่านั้นที่หันมาบริโภคอาหารจากธรรมชาติ ชาวต่างชาติก็มีเคล็ดลับในการบริโภคอาหารไม่แพ้กัน แต่ละประเทศก็จะมีอาหารยอดเยี่ยมที่ใช้ในการดูแลสุขภาพ อะไรบ้างเรามาดูกันเลยดีกว่า..

อาหารยอดเยี่ยม 5 ชนิดที่ปฏิเสธไม่ได้

สเปน : น้ำมันมะกอก
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่ามะกอกของไทยกับฝรั่งนั้นเป็นคนละพันธุ์กัน มะกอกของฝรั่งที่มีชื่อว่า โอลีฟ (olive) มีน้ำมันที่มีคุณประโยชน์มาก ซึ่งชาวสเปนถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในการปรุงอาหารที่ได้รับการสืบทอด กันมานาน และบริโภคกันทุกมื้ออาหาร โดยสเปนถือเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตน้ำมันมะกอกมากกว่า 40% ของโลก
คุณประโยชน์ : น้ำมันกอกมีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง นอกจากจะเป็นไขมันชั้นดีแล้วยังมีฤทธิ์เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่เป็นตัวควบ คุมระดับคอเลสเทอรอล ที่ไม่ดีในเลือดและเพิ่มระดับคอเลสเทอรอลที่ดี(เอชดีแอล) จึงช่วยป้องกันโรคหัวใจ ที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอีที่เป็นสารแอนติออกซิ แดนท์ ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนั้นงานวิจัยใหม่ๆ ยังแสดงให้เห็นว่าน้ำมันมะกอกมีสารพฤกษเคมีตามธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่คล้ายกับที่พบในยาแก้ปวด แก้อักเสบที่ไม่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ (ibuprofen)

ญึ่ปุ่น : ถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองธัญพืชชั้นยอดที่เป็นแหล่งของโปรตีนที่มีคุณภาพและมีไขมันที่ดี รวมทั้งยังมีส่วนประกอบของวิตามิน เกลือแร่ และพฤกษเคมีต่างๆ รวมทั้งไขมันโอเมกา 3 และไม่มีคอเลสเทอรอล ในประเทศญี่ปุ่นมีการใช้ถั่วเหลืองในการประกอบอาหารเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ซอสถั่วเหลือง (แพร่หลายเหมือนกับซอสมะเขือเทศ) ไปถึงน้ำมันพืช เต้าหู้ และถั่วเหลืองหมักที่เรียกกันว่า มิโซะ
คุณประโยชน์ : สารไอโซฟลาโวนส์ (isoflavones) ในถั่วเหลืองมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโทรเจน มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งที่ขึ้นกับระดับฮอร์โมน (มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก) และภาวะกระดูกพรุน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ งานวิจัยหลายๆ ชิ้นชี้แนะว่า ถั่วเหลืองมีผลดีต่อสุขภาพของหัวใจ


กรีซ : โยเกิร์ต
นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต คือนมสดที่นำมาหมักกับเชื้อจุลินทรีย์กระทั่งน้ำตาลแลคโตสในนมเปลี่ยนเป็น กรดแลคติก มีลักษณะข้นเป็นครีมและมีรสเปรี้ยว มีโปรตีนและแคลเซียมสูง โยเกิร์ตถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ชาวกรีซบริโภคกันมานับพันๆ ปี
คุณประโยชน์ : โยเกิร์ตมีจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยในการย่อยน้ำตาลในนม เช่น แลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทาน ลดความดัน เสริมสร้างสุขภาพในลำไส้และช่องคลอด และอาจมีผลช่วยป้องกันมะเร็งและช่วยลดน้ำหนักได้ นอกจากนี้โยเกิร์ตของชาวกรีซ ไม่ให้น้ำตาลมากเกินไปเหมือนโยเกิร์ตของประเทศอเมริกาด้วย





อินเดีย : ถั่วเลนทิล
เลนทิล (Lentils) เป็นเมล็ดถั่วมีลักษณะกลมๆ แบนๆ มีหลายสี เช่น น้ำตาล เขียว แดง และเหลือง เลนทิลมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มาก ชาวอินเดียจึงนิยมบริโภคพร้อมกับข้าวหรือขนมปังในทุกๆ มื้ออาหารและอินเดียยังเป็นทั้งแหล่งผลิตและแหล่งบริโภคถั่วเลนทิลที่ใหญ่ ที่สุดในโลก
คุณประโยชน์ : อาหารสุดยอดนี้ให้โปรตีนและไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งช่วยลดคอเลสเทอรอลลงได้ และยังให้ธาตุเหล็กมากกว่าพืชตระกูลถั่วอื่นๆ ถึง 2 เท่า และถั่วเลนทิลยังมีวิตามินบีและโฟเลตสูงอีกด้วย ซึ่งโฟเลตมีความสำคัญต่อหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของระบบสมองในเด็กทารกแรกคลอด

เกาหลี : กิมจิ
กิมจิ ผักกะหล่ำปลีดองที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศที่ให้รสชาติเผ็ดๆ ถือเป็นอาหารประจำชาติของชาวเกาหลีที่จัดเป็นอาหารประเภท "เครื่องเคียง" ที่ขึ้นโต๊ะอาหารได้ทุกมื้อ ปกติชาวเกาหลีจะบริโภคกิมจิคนละประมาณ 20 กิโลกรัมต่อปี
คุณประโยชน์ : กิมจิ นอกจากกินอร่อยแล้วยังมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก อาทิ อุดมด้วยเส้นใยอาหาร เต็มไปด้วยวิตามินเอ ซี บี และมีแคลอรีต่ำ แต่คุณประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือมีแบคทีเรียชนิดแลคโตแบซิไลที่ให้ ประโยชน์ในการช่วยย่อยอาหาร

คุณสามารถเลือกอาหารยอดเยี่ยมจาก 5 ประเทศเป็นส่วนหนึ่งในอาหารชีวิตประจำวันได้ไม่ยาก แล้วคุณจะรู้ว่าสุขภาพดีๆ อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ผิวสวย หน้าใส ด้วยมะพร้าว

ผิวสวย หน้าใส ด้วยมะพร้าว



ทราบหรือไม่ว่า มะพร้าวก็สามารถทำให้ผิวสวย หน้าใส ได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

- อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด

น้ำมะพร้าวถือเป็น เครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ (Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีก ด้วย

- ชะลออาการอัลไซเมอร์

การดื่มน้ำมะพร้าว ทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

- ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

น้ำมะพร้าวสามารถ ช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มี ความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

- สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ

เนื่องจากน้ำ มะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้อง ร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก ด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีผิวสวย หน้าใส ก็ดื่มน้ำมะพร้าวกันดูได้.

ที่มา เดลินิวส์

กินอะไรให้นัยน์ตาสวย

กินอะไรให้นัยน์ตาสวย

สาเหตุหนึ่งที่ร่างกายมีปัญหาที่ตาก็คือ ร่างกายได้รับไวตามินเอไม่เพียงพอ แต่ถ้าขาดมาก ๆ จะมีอาการดังนี้

กลัวแสง
เวลา ไปอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างจ้าหรือกลางแดด จะตาหยีและแสบตามาก ปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้ช้าต่างกับคนอื่นที่สามารถปรับสายตาได้เร็ว กว่า

ถ้าขาดรุนแรง
ตาขาวจะมีลักษณะที่ชาวบ้าน เรียกว่า เกล็ดกะดี่ (bitot spot) และต่อมาตาจะบอด นอกจากจะแสบตาเก่งแล้ว ยังสู้สายตาคนไม่ค่อยได้ ดูโทรทัศน์ไม่นานก็เมื่อยตา ขับรถในเวลากลางคืนก็มองไม่ถนัด สุขภาพตาที่ไม่ดีนั้น จะทำให้ตาไม่แข็งแรง ติดเชื้อได้ง่ายอักเสบง่าย คนธรรมดานั้นตื่นเช้าไม่มีขี้ตา แต่บางคนตื่นเช้าก็มีขี้ตาเล็ก ๆ น้อย ทุกวัน โดยไม่มีอาการตาเจ็บหรืออักเสบใด ๆ แสดงถึงสุขภาพที่ไม่สมบูรณ์ของนัยน์ตา

นัยน์ตาสวย ทำได้ดังนี้
รับประทานไวตามิน เอ วันละ 1 แคปซูล (ขนาด 25,000 ยูนิต) สองสัปดาห์ แล้วกินวันเว้นวัน
รับประทานไวตามิน อี 100 ยูนิต วันละ 2 ครั้ง
รับประทานไวตามินบี 2 วันละ 200มิลลิกรัม
ประมาณ 3 - 4 เดือน

กินอะไรให้ใบหน้าชุ่มชื่น

กินอะไรให้ใบหน้าชุ่มชื่น

ใบหน้าจะชุ่มชื่นได้ต้องอาศัยวไวตามิน เอในจำนวนที่มากกว่าได้รับปริมาณปกติและควรปฏิบัติดังนี้

1. งดการใช้ครีมล้างหน้า เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อนถ้าใช้ครีมล้างหน้าแล้วจำเป็นต้องใช้กระดาษเช็ด ออกความจริงแล้วใบหน้าที่เปื้อนเหงื่อไคลและฝุ่นละอองควรจะต้องใช้สบู่และ ใช้น้ำล้างจะทำให้สะอาดมากกว่า

2. การใช้ครีมรองพื้นอยู่ตลอดเวลาก็จะทำให้อุดรูขุมขนและเหงื่อทำให้เกิดการอุดตันของของเสียได้

3. ควรบำรุงด้วยโภชนาการ ผักที่มีไวตามินเอสูง ในปริมาณ 100 กรัมจะมีไวตามิน เอ ดังนี้
++ ใบยอ มีไวตามิน เอ 43,333 หน่วย
++ ใบแมงลัก มีไวตามิน เอ 26,000 หน่วย
++ ผักตำลึง มีไวตามิน เอ 18,608 หน่วย
++ ยอดแค มีไวตามิน เอ 12,466 หน่วย
++ ใบขี้เหล็ก มีไวตามิน เอ 7,625 หน่วย
++ ผักบุ้งจีน มี ไวตามิน เอ 6,300 หน่วย
++ ใบโหระพา มีไวตามิน เอ 20,712 หน่วย
++ ผักขมหนาม มีไวตามิน เอ 11,090 หน่วย
++ ยอดมะละกอ มีไวตามิน เอ 18,250 หน่วย
++ ชะอมมีไวตามิน เอ 10,066 หน่วย
++ กระถิน มีไวตามิน เอ 7,883 หน่วย

ไว ตามินเอจะช่วยสิ่งที่เป็นพื้นผิวของร่างกายทั้งภายนอกและภายใน ทางภายนอกก็คือ ผม เล็บ นัยน์ตา ทางภายในก็คือ เยื่อบุพื้นผิวภายในทั้งหลาย เยื่อบุผิวในปาก ในลำไส้ หรือที่เรียกว่าทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ และเยื่อบุพื้นผิวที่ไหน ๆ ก็ต้องอาศัยไวตามิน เอทั้งสิ้น

นอก จากจะได้รับไวตามิน เอ จากธรรมชาติแล้ว ยังสามารถได้รับ ไวตามิน เอที่สกัดเรียบร้อยแล้ว เช่น รัปประทานวันละ 1 แคปซูล (ขนาด 25,000 ยูนิต) สองสัปดาห์หลังจากนั้นรับประทานวันเว้นวัน จะทำให้ผิวหนังสวยอ่อนนุ่มกว่าเดิม เส้นผมเป็นเงา

บรรเทาโรคเข่าเสื่อมด้วยโหระพา

บรรเทาโรคเข่าเสื่อมด้วยโหระพา

ถ้า พูดถึง “โหระพา” ใคร ๆ ก็คงจะนึกถึงอาหาร เช่น แกงเขียวหวานไก่ หรือ ผัดหอยลาย เป็นต้น แต่ใครบ้างจะรู้ถึงสรรพคุณที่มีประโยชน์ของ “โหระพา”

สรรพคุณ เบื้องต้นของ “โหระพา” ก็คือ จะช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง หรือนำมาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย แต่ถ้าเปิดตำราหนังสือแพทย์จะพบว่า “โหระพา” มีสรรพคุณมากกว่านั้นคือ สามารถรักษาโรคเข่าเสื่อมได้


วิธี การ คือ นำ “โหระพา” ทั้งต้นไม่ต้องเด็ดรากทิ้งกะพอประมาณใช้พอกเข่าได้มิด จากนั้นนำไปล้างให้สะอาด ตำพอละเอียดใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีเล็กน้อยคนให้เข้ากัน แล้วนำไปตั้งไฟแค่พอร้อน (ไม่ต้องถึงกับเดือด) และทิ้งไว้ให้อุ่น นำไปพอกเข่าประมาณ 10-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง

อย. เตือนอย่าเชื่อ “กาแฟลดอ้วน”

อย. เตือนอย่าเชื่อ “กาแฟลดอ้วน”

โดย ปกติ ชา กาแฟ จะมีสารกาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารตัวนี้จะออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ และระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สมองที่เฉื่อยตื่นตัวมากขึ้น สร้างความกระปรี้กระเปร่าช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย โดยขนาดปกติที่ได้รับไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากเป็นขนาดที่แสดงฤทธิ์ทางยา ซึ่งหากรับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลเสียให้เกิดอาการบางอย่าง เช่น กระวนกระวาย ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หงุดหงิดได้

ด้วย เหตุนี้ "กาแฟ" จึงแทบจะกลายเป็นอาหารหลักของผู้บริโภค โดยเฉพาะคนในวัยทำงาน เนื่องด้วยสรรพคุณที่ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า หากแต่ก็มีนักโภชนาการหลายท่านที่กล่าวเตือนนักดื่มกาแฟ ให้ระมัดระวังผลข้างเคียงเรื่อง "ความอ้วน" เพราะน้ำตาล และครีมเทียม

แถม บางครั้งยังพ่วงท้ายด้วย นมข้นหวานเสร้างรสชาติเข้มข้น หวานมัน เหล่านี้เป็นตัวต้นเหตุของวายร้ายที่มีชื่อว่า "ความอ้วน" เข้ามาสร้างความหวาดหวั่น ให้กับผู้ดื่มกาแฟเป็นจำนวนมาก จึงเป็นสาเหตุให้ ผู้ประกอบการหัวใส ต่างงัดกลยุทธ์โน้มน้าวใจ อวดอ้างสรรพคุณ ว่าสามารถกำจัดจุดอ่อนในข้อนี้ได้ทำให้เกิดกระแสนิยมบริโภค "กาแฟลดความอ้วน"

สรรพคุณ "กาแฟลดความอ้วน" เชื่อได้หรือไม่

นพ. พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาอ (อย.) กล่าวว่าการโฆษณา "กาแฟกินแล้วผอม" ดังกล่าวถือเป็นการกล่าวอ้างเกินจริง ซึ่งตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 40 ห้ามมิให้ผู้ใด โฆษณาคุณประโยชน์คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือเป็นการหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร

เนื่อง จากกาแฟจัดเป็น "อาหาร" ไม่ใช่ "ยา" จึงไม่มีสรรพคุณการบำบัดความอ้วนได้การโฆษณากล่าวอ้างดังกล่าวจึงถือเป็นการ ลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในสรรพคุณอาหาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอเตือนให้ผู้บริโภคระมัดระวังผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการกล่าวอ้างในทำนอง นี้

เนื่อง จากที่ผ่านมา อย. ตรวจพบว่า มีผู้ประกอบการบางรายลักลอบใส่สาร "ไซบูทรามีน" ซึ่งเป็นยาลดความอ้วนลงไปในอาหาร ซึ่งยานี้เป็นยาควบคุมพิเศษต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์และขายได้เฉพาะในสถานพยาบาล เท่านั้นจึงอาจมีอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคตับ โรคไต หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร

ถึง แม้กาแฟจะมีส่วนต่อระบบการเผาผลาญของร่างกาย แต่หากดื่มเป็นปริมาณมากโดยคาดหวังให้ ผอม รูปร่าง อาจเกิดอันตรายได้ เพราะจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ทั้งยังไม่มีรายงานหรือผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือสนับ สนุนว่าการบริโภคกาแฟสามารถควบคุมน้ำหนักได้

อวดอ้างว่าลดความอ้วน ผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อ

นอก จากเรื่อง "ลดความอ้วน" คงเคยได้ยินสรรพคุณขั้นเทพ ที่หยิบยกกันมากกว่านั้น โดยเฉพาะผสมสารสกัดสรรพคุณความงาม อาทิ ไฟเบอร์ คอลลาเจน แอลคาร์นิทีน โครเมียม ฯลฯ ที่ต่างหยิบมาอวดอ้างสรรพคุณสร้างความน่าเชื่อถือไว้มากมาย ให้ผู้บริโภคยอมควักกระเป๋าจ่าย แม้ราคาจะสูงกว่ากาแฟทั่วไปมากก็ตาม

ใน ส่วนนี้จากการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบว่า สารสกัดต่างๆ เหล่านั้นเป็นส่วนผสมเพียงเล็กน้อยและไม่มีข้อมูลทางวิชาการยืนยันว่ากาแฟ ที่ผสมส่วนผสมต่างๆ เช่น ไฟเบอร์ คอลลาเจน ทำให้ผู้บริโภคน้ำหนัดลดลงได้ มีผิวสวย หรือเพิ่มความงามแต่อย่างใด จึงไม่อาจกล่าวอ้างเช่นนั้นได้

หุ่นดีได้ ด้วยตัวเรา เห็นผล 100%

ออก กำลังกายสม่ำเสมอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน วันละ 20 - 30 นาที และหยุดตามใจปาก จนเป็นเรื่องคงจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด การหวังพึ่งพาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุปัญหาถึงแม้จะรับประทานผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณ ลดความอ้วนต่างๆ เข้าไป แต่ไม่ระวังในการรับประทานอาการและไม่พยายามเปลี่ยนแปลงนิสัยการบริโภคโอกาส ที่รูปร่างจะกลับมาเหมือนเก่าอีกย่อมแน่นอน

สำหรับ ผู้ต้องการมีรูปร่างดี ผอม เพรียว อย่างมีสุขภาพอย่าลืมรับประทานอาหารหลากหลายให้ครบ 5 หมู่ รับประทานให้ครบในปริมาณพอเหมาะรับรองช่วยได้ เพราะสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรลืมเลือน ใช่เพียง "ผอม หุ่นดี" แต่ทุกอย่างต้องมีคำว่า "เพื่อสุขภาพที่ดี" พวงท้ายเสมอ

เชื่อ เถอะว่า นอกจากจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จได้ชัยชนะพิชิตความอ้วนเด็ดขาดแล้วยังช่วย พิชิตโรคภัยไข้เจ็บไม่ให้มากล้ากลาย โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินหมดเปลืองไปกับสินค้าตัวช่วยที่ไม่สามารถรู้ ได้เลยว่า "ช่วยได้จริงหรือไม่"

หาก พบเห็นโฆษณาที่หลอกลวงผู้บริโภคสามารถติดต่อแจ้งเบาะแสได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โทร. 02 590 7354-55 หรือ 1556 และสามารถตรวจสอบข้อมูลอันเป็นประโยชน์ได้ที่ www.oryor.com

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด